Last updated: 13 พ.ค. 2566 | 827 จำนวนผู้เข้าชม |
ในปัจจุบันมีแบบ USB หลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะและความสามารถที่ต่างกันไปดังนี้
1. USB Type-A: เป็น USB แบบเดิมและพบได้ทั่วไป มีความเข้ากันได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ
2. USB Type-B: ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีพอร์ต USB แบบ B เช่น เครื่องพิมพ์ และสแกนเนอร์
3. USB Type-C: เป็น USB แบบใหม่ที่มีขนาดเล็กและมีความสามารถหลายอย่าง เช่น สามารถใช้เป็นพอร์ตชาร์จได้ และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี USB-C ได้
4. Mini-USB: เป็น USB แบบเล็กที่ใช้สำหรับอุปกรณ์ที่มีพอร์ต USB แบบ Mini-B เช่น กล้องดิจิตอลและโทรศัพท์มือถือเก่า
5. Micro-USB: เป็น USB แบบเล็กกว่า Mini-USB และใช้สำหรับอุปกรณ์ที่มีพอร์ต USB แบบ Micro-B เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
6. USB 3.0: มีความเร็วสูงกว่า USB 2.0 และมีการรองรับการถ่ายโอนข้อมูลในปริมาณมากขึ้น
7. USB 3.1: เป็น USB แบบใหม่ที่มีความเร็วสูงขึ้นและมีความสามารถหลายอย่าง เช่น สามารถใช้เป็นพอร์ตชาร์จได้และมีการรองรับ Thunderbolt 3
8. USB 4.0: เป็น USB แบบล่าสุดที่มีความเร็วสูงสุด
USB Type-A เป็นพอร์ต USB แบบเดิมที่พบได้ทั่วไปในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีตัวเข็มที่สองขนาดเล็กที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้อย่างแน่นหนา โดยทั่วไปมักจะมีสีขาวเป็นพื้นหลัง
USB Type-A สามารถใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คีย์บอร์ด และเมาส์ สามารถใช้สำหรับการโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้ และสามารถใช้เป็นพอร์ตชาร์จได้เช่นกัน โดยปกติแล้ว USB Type-A มักจะมีความเร็วการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดที่ 480 Mbps สำหรับ USB 2.0 และ 5 Gbps สำหรับ USB 3.0 และ USB 3.1 โดย USB Type-A เป็น USB ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายและสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่ายดายเนื่องจากมีพอร์ต USB Type-A บนเครื่องมากที่สุด
USB Type-B เป็นพอร์ต USB ที่มักจะใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์เน็ตเวิร์ก เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลหรือพิมพ์เอกสารได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีส่วนที่เป็นแบบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ติดอยู่บริเวณกลางของพอร์ต และมักจะมีขนาดเล็กกว่า USB Type-A
มีหลายประเภทของ USB Type-B ซึ่งแตกต่างกันตามขนาดและการใช้งาน เช่น USB Type-B Standard ที่มักใช้สำหรับเครื่องพิมพ์และเครื่องสแกน และ USB Type-B Mini ที่มีขนาดเล็กกว่าและมักใช้สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เช่น กล้องถ่ายภาพดิจิตอล โทรศัพท์มือถือแบบเก่า และอุปกรณ์อื่นๆ
นอกจากนี้ USB Type-B ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครือข่ายเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ดังนั้น USB Type-B เป็นพอร์ตที่สำคัญและใช้งานกันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมของเทคโนโลยีและการสื่อสารในปัจจุบัน
Type-B แบบ mini และ Micro นั้นจะเป็นแบบหัวเล็ก ส่วนใหญ่มักจะใช้กับอุปกรณ์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น ฮาร์ดไดรฟ์แบบพกพา (External Hard drive), โทรศัพท์มือถือ (Smartphone), หูฟังบลูทูธ, เมาส์ปากกา และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ปัจจุบัน อุปกรณ์ใหม่ ๆ เริ่มเปลี่ยนไปใช้พอร์ตใหม่อย่าง USB-C กันเกือบทั้งหมดแล้ว ที่ยังเห็น USB-B แบบ mini-B, Micro-B เดิมนี้อยู่นั่น ส่วนมากจะเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ผลิตออกก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ USB-C
USB Type-C
USB Type-C เป็นพอร์ต USB ที่มีความสามารถหลากหลายและถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยความสามารถที่โดดเด่นของ USB Type-C คือการรองรับการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10 Gbps และการส่งไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 100W ซึ่งทำให้สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ที่มีการใช้พลังงานมากกว่าเดิมได้ และยังสามารถใช้งานเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ของโทรศัพท์และแท็บเล็ตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในการใช้งานที่หลากหลาย
นอกจากนี้ USB Type-C ยังมีความสามารถในการส่งสัญญาณเสียงและวิดีโอเป็นความละเอียดสูงได้ และยังสามารถใช้งานเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น โน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน โดยไม่ต้องใช้แท็กเพิ่มเติม เนื่องจาก USB Type-C มีลักษณะที่เป็นเครื่องหมายแบบเดียวกันทั้งที่เป็นตัวต่อและตัวรับ และยังสามารถส่งสัญญาณแบบไร้สายได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับ USB Type-C เช่น สายชาร์จ ฮับ USB และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มาพร้อมกับพอร์ต USB Type-C ดังนั้น USB Type-C เป็นพอร์ตที่ทันสมัยและมีความสามารถที่สูง
ป็นรูปแบบของพอร์ต USB ใหม่ล่าสุดแล้วในปัจจุบัน มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูง สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้แรงมาก เริ่มนำมาใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น MacBook, Smartphone และ Notebook PC บางรุ่นในปี 2015 ซึ่ง USB-C นี้ถือว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของพอร์ต USB เลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันสามารถเสียบ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ทั้งสองด้านเหมือนกับพอร์ต Lightning ของ Apple เลยครับ ทำให้ง่ายต่อการใช้ ต่อการใช้งาน และพอร์ตนี้จะมาแทน USB-B แบบเดิมนั่นเอง
USB-C ยังยังรองรับคุณสมบัติการจ่ายไฟสูงถึง 100 Watt (วัตต์) หรือสูงสุด 20V 5A โดยจะมีชื่อเรียกของเทคโนโลยีนี้ว่า Power Delivery หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “PD” ซึ่งเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2012
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า USB-C ของแต่ละแบรนด์นั้น ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเดียวกันทั้งหมด ซึ่งก็รวมถึงสาย USB ด้วย หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถจ่ายไฟได้มากถึง 240W (48V 5A) กันเลย
11 พ.ค. 2566
2 มิ.ย. 2566
5 มิ.ย. 2566